Akasha – การถอดเสียงวิดีโอ

“โลกภายในโลกภายนอก” ตอนที่ 1

เห็นโลกอยู่ในเม็ดทราย และสวรรค์อยู่ในดอกไม้ป่า ถืออนันต์ไว้ในกำมือ และนิจนิรันดร์ไว้ในหนึ่งชั่วโมง
ในเริ่มต้นคือโลโกส์ (Logos)
บิ๊กแบง (Big Bang)
โอมดั้งเดิม
ทฤษฎีบิ๊กแบงกล่าวว่าลักษณะทางกายภาพของจักรวาล
หมุนวนออกมาจากจุดเพียงจุดเดียวที่ร้อนและหนาแน่นอย่างคาดไม่ถึง
จุดเดียวนั้นเรียกว่า “เอกภพ”
ซึ่งมีขาดเล็กกว่าหัวเข็มหมุดหลายพันล้านเท่า
ไม่มีคำอธิบายว่าทำไมหรืออย่างไร
บางสิ่งบางอย่างยิ่งลึกลับ เราก็ยิ่งมองข้ามมันไป
ว่าเราเข้าใจมัน
เคยเป็นที่คิดกันว่า แรงโน้มถ่วงในบางครั้ง
ทำหน้าที่ชะลอการแผ่ขยายหรือกดย่อจักวาลไว้ในสภาวะบิ๊กครันช์ (Big Crunch)
อย่างไรก็ตาม ภาพจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล
ได้แสดงให้เห็นว่าการขยายตัวของจักรวาลดูเหมือนกำลังมีความเร่ง
มันกำลังแผ่ขยายเร็วยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ทุกระยะที่ออกห่างจากจุดบิ๊กแบง
พบว่าด้วยเหตุผลบางประการมวลที่อยู่ในจักรวาลมีมากกว่าปริมาณที่คาดคะเนได้จากหลักการทางฟิสิกส์
เพื่ออธิบายมวลส่วนต่างที่คาดคะเนไม่ได้นี้
นักฟิสิกส์ปัจจุบันกล่าวว่ามีเพียง 4% ของจักรวาลที่เป็น “อะตอมมิกแมทเทอร์”
หรือที่พวกเรารู้จักกันในนามของ “วัตถุธรรมดา”
อีก 23% ของจักรวาลคือ “สสารมืด”
และที่เหลืออีก 73% ก็คือ “พลังงานมืด” ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเราเคยคิดว่ามันคือพื้นที่ว่างเปล่า
มันคล้ายกับระบบประสาทที่มองไม่เห็นวิ่งทั่วจักรวาล
เพื่อเชื่อมโยงทุกสิ่งเข้าด้วยกัน
คุรุแห่งพระเวทโบราณได้สอนนารทพรหมว่า
จักรวาลคือการสั่นสะเทือน
อาณาเขตแห่งการสั่นสะเทือน เป็นรากฐานของประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งมวล รวมทั้งการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ด้วย
มันเป็นสนามพลังงานเดียวกับที่นักบุญ
พระพุทธเจ้า โยคี จอมขมังเวทย์ พระ หมอผี และ หมอดู ทั้งหลาย
ได้สังเกตเห็นจากการมองเข้าไปภายในตนเอง
มันถูกเรียกว่า “อากาสา”, “โอมดั้งเดิม”
ตาข่ายรัตนะของพระอินทร์, บทเพลงจากวงโคจรของดวงดาว
และชื่อเรียกอื่นๆเป็นพันชื่อ ที่ปรากฎอยู่ในประวัติศาสตร์
มันเป็นรากฐานของทุกศาสนา
และเชื่อมโยงระหว่าง โลกภายในตัวเรา กับ โลกภายนอกตัวเรา
ตอนที่ 1 อากาสา
พุทธศาสนาแบบมหายานในช่วงปี ค.ศ. 2001-300
บรรยายจักรวาลวิทยาไว้ไม่ได้ต่างจากที่กล่าวไว้ในวิชาฟิสิกส์ชั้นสูงสมัยใหม่
“ตาข่ายรัตนะของพระอินทร์” คือสำนวนอุปมาอุปไมยที่ใช้อธิบายคำสอนซึ่งโบราณกว่ามากในคัมภีร์พระเวท
ที่บรรยายวิธีการที่ข่ายใยของจักวาลถูกถักทอเข้าด้วยกัน
พระอินทร์ผู้ซึ่งเป็นราชาแห่งเทพทั้งหลาย
ได้ให้กำเนิดดวงอาทิตย์
แล้วเคลื่อนลมและน้ำ
จินตนาการถึงใยแมงมุมที่แผ่ขยายไปทุกทิศทาง
เส้นใยนั้นสร้างขึ้นมาจากหยาดน้ำค้างจำนวนมาก
โดยที่แต่ละหยาดหยดบรรจุภาพสะท้อนของหยาดหยดอื่นๆ
และในหยดน้ำค้างแต่ละหยด
เธอจะพบภาพสะท้อนจำนวนมากของหยดอื่นๆทุกหยด
เส้นใยทั้งหมดอยู่ในภาพสะท้อนนั้น
เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยจนถึงอนันต์
ตาข่ายพระอินทร์จึงสามารถอธิบายได้ในเชิงของจักวาลแบบฮอโลกราฟฟิก
ที่ซึ่งแม้ลำแสงที่เล็กที่สุด
ก็บรรจุไว้ด้วยรูปแบบอันสมบูรณ์ของทั้งหมด
นักวิทยาศาสตร์ชาวเซอร์เบียนอเมริกันชื่อ นิโคลา เทสลา
บางครั้งได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้สร้างศตวรรษที่ 20
เทสลารับผิดชอบการค้นพบไฟฟ้ากระแสสลับ
และสิ่งประดิษฐ์อื่นจำนวนมากซึ่งได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันปัจจุบัน
เพราะความสนใจในธรรมเนียมปฏิบัติแบบพระเวทโบราณของเขา
เทสลาจึงอยู่ในจุดยืนพิเศษที่เข้าใจวิทยาศาสตร์
ผ่านทั้งในรูปแบบวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตก
เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ทุกท่าน
เทสลามองลึกลงไปในความลึกลับแห่งโลกภายนอก
แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มองลึกลงไปภายในตนเองด้วย
เหมือนโยคีโบราณ เทสลาใช้คำศัพท์ “อากาสา”
บรรยายความรู้สึกสัมผัสของพลังกายทิพย์ (Etheric Feel) ที่แผ่ออกมาจากทุกสิ่ง
เทสลาเป็นลูกศิษย์ของโยคีชื่อ สวามีวิเวกานันทะ ผู้นำเอาคำสอนโบราณจากอินเดียไปสู่ฝั่งตะวันตก
จากคำสอนในคัมภีร์พระเวท “อากาสา” ก็คือตัวช่องว่าง
ช่องว่างที่มีองค์ประกอบอื่นบรรจุอยู่
ซึ่งเกิดขึ้นในขณะเดียวกับการสั่นสะเทือน
สองอย่างนี้ไม่สามารถแยกจากกันได้
“อากาสา” คือหยินเมื่อเทียบกับหยางของ “ปราณา”
หลักการสมัยใหม่ที่สามารถช่วยเราให้รู้จัก “อากาสา”
หรือ “สสารต้นกำเนิด” ในเชิงหลักการได้คือแนวคิดของแฟร็กทัลส์ (Fractals)
เดิมทีมันเป็นไปไม่ได้ จนกระทั่งถึงทศวรรษ 1980
ที่ความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์
เปิดโอกาสให้เราสร้างภาพและจำลองรูปแบบของสิ่งต่างๆในธรรมชาติโดยใช้คณิตศาสตร์
คำศัพท์ “แฟร็กทัลส์” ถูกสร้างขึ้นในปี 1980
โดยนักคณิตศาสตร์ชื่อ เบนอยท์ แมนเดลบรอท
ผู้ศึกษาสมการคณิตศาสตร์ง่ายๆที่
เมื่อถูกใช้ซ้ำจะเกิดการผลิต
กลุ่มรูปแบบทางคณิตศาสตร์หรือเรขาคณิตที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
ภายในขอบข่ายที่จำกัด
พวกมันจำกัดแต่ในขณะเดียวกันก็ไร้ขีดจำกัด
แฟร็กทัลส์คือทรงเรขาคริตอย่างหยาบ
ที่สามารถแยกกระจายออกเป็นส่วนๆ
โดยแต่ละส่วนคือรูปแบบที่คัดลอกแล้วย่อขนาดมาจากภาพรวมใหญ่
นี่เป็นคุณสมบัติที่เรียกว่า “ความคล้ายตนเอง”
แฟร็คทัลของแมนเดลบรอทถูกเรียกว่า “ลายนิ้วโป้งของพระเจ้า”
เธอกำลังเห็นงานศิลปะที่ถูกสร้างขึ้นโดยตัวธรรมชาติเอง
หากเธอหมุนภาพของแมนเดลบรอทนี้ไปในทิศทางหนึ่ง
มันจะดูคล้ายเทพธิดาของฮินดูหรือพระพุทธเจ้า
ภาพนี้ถูกเรียกว่าบุดดาบรอท (Buddhabrot)
ถ้าเธอมองดูงานศิลปะโบราณและงานสถาปัตยกรรม
เธอจะเห็นว่านานมาแล้วที่มนุษย์ได้นำความงามและความศักดิ์สิทธิ์มาอยู่ร่วมกัน
ด้วยรูปแบบแฟร็คทัล
ซับซ้อนอย่างไร้ขีดจำกัด
นอกจากนั้นทุกส่วนยังบรรจุเมล็ดพันธุ์สำหรับสร้างทั้งหมดขึ้นมาใหม่
แฟร็คทัลส์ได้เปลี่ยนมุมมองของนักคณิตศาสตร์ที่มีต่อจักรวาล
และการทำงานของมัน
ในทุกระดับใหม่ของการแผ่ขยาย
มันมีความแตกต่างจากต้นกำเนิดเดิม
ความเปลี่ยนแปลงและการแปรสภาพที่แน่นอนเกิดขึ้น
เมื่อเราเดินทางข้ามจากรายละเอียดแฟร็คทัลระดับหนึ่งไปยังอีกระดับหนึ่ง
การแปรสภาวะแบบนี้เรียกว่าวงก้นหอยอันไพศาล (Cosmic Spiral)
ความเฉลียวฉลาดที่ฝังลึกอยู่ภายในเมตริกซ์ของช่องว่างแห่งเวลา
แฟร็คทัลส์นั้นโดยลักษณะกำเนิดแล้วเป็นเคออดิก (Chaordic)
เต็มไปด้วยความสับสนและความเป็นระเบียบ
เมื่อจิตของเราจำหรือให้นิยามรูปแบบ
เราจดจ่ออยู่กับมันเสมือนว่ามันเป็นสิ่งของ
เราพยายามหารูปแบบที่เราเห็นว่างดงาม
แต่เพื่อที่จะจับรูปแบบนั้นให้คงอยู่ในจิตเรา
เราจำเป็นต้องละทิ้งแฟร็คทัลส์ที่เหลือทั้งหมดไป
การตีความหมายแฟร็คทัลส์ด้วยความรู้สึกสำนึก
ก็คือการจำกัดการเคลื่อนไหวของมัน
พลังงานทั้งหมดในจักรวาลเป็นกลางไม่มีเวลาไม่มีมิติ
ความสามารถในการสร้างสรรค์และการจำรูปแบบของพวกเรา
ก็คือการเชื่อมโยงส่วนย่อยเข้ากับส่วนใหญ่
โลกแห่งคลื่นอันไร้เวลาและโลกแห่งวัตถุที่จับต้องได้
การสังเกตคือการสร้างสรรค์ผ่านข้อจำกัดทั้งหลายซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติของการคิด
เรากำลังสร้างภาพลวงตาแห่งการจับต้องได้
ของสรรพสิ่งด้วยการติดฉลากหรือการตั้งชื่อ
นักปรัชญาชื่อ เคียร์เคอกอร์ กล่าวว่า
“เมื่อคุณตั้งชื่อฉัน คุณลบล้างฉัน”
ด้วยการตั้งชื่อฉัน ติดฉลากฉัน คุณได้ลบล้าง
สิ่งอื่นๆทั้งหมดที่ฉันอาจจะเป็นได้
คุณล็อคอนุภาคไว้จากการกลายเป็นสิ่งของ
ด้วยการเอาเข็มเสียบมันไว้และตั้งชื่อให้มัน
แต่ในขณะเดียวกันคุณก็กำลังสร้างมัน
ให้มันมีนิยามในการดำรงอยู่
ความสามารถในการสรรค์สร้างคือธรรมชาติขั้นสูงสุดของพวกเรา
เมื่อการสร้างสรรพสิ่งมาถึงเวลา
ซึ่งเป็นตัวสร้างภาพลวงตาของการจับต้องได้
ไอสไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ตระหนักรู้
ว่าสิ่งที่พวกเราคิดกันว่าเป็นพื้นที่ว่างเปล่านั้นไม่ใช่ว่าไม่มีอะไร
มันมีคุณสมบัติ
และดำรงอยู่ภายในธรรมชาติแห่งพื้นที่ทั่วไป
ซึ่งมีพลังงานอยู่ในปริมาณที่ยากจะหยั่งถึง
นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงชื่อ ริชาร์ด ไฟน์แมน ครั้งหนึ่งเคยกล่าวว่า
“พลังงานที่บรรจุอยู่ในช่องว่างหนึ่งลูกบาศก์เมตรมีเพียงพอ
ให้ต้มน้ำทะเลทั้งหมดในโลกนี้ได้ “
นักทำสมาธิขั้นสูงทั้งหลายทราบดีว่าในความนิ่ง
มีพลังงานสูงสุดตั้งอยู่
พระพุทธเจ้ามีคำศัพท์อื่นสำหรับเรียกสสารต้นกำเนิด
ว่า “กัลป์”
ซึ่งคล้ายกับอนุภาคเล็กๆหรือระลอกคลื่น
ที่กำลังผุดขึ้นและผ่านไปจำนวนหลายล้านล้านครั้งต่อวินาที
ด้วยมุมมองเช่นนี้ ความเป็นจริงก็คือ
มันเหมือนแผ่นเฟรมจำนวนหลายชุดในกล้องถ่ายภาพฟิลม์ฮอโลแกรม
กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะสร้างภาพลวงตาของความต่อเนื่อง
เมื่อความรู้สึกตัวหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์
ภาพลวงตาจึงถูกมองออก
เพราะตัวความรู้สึกตัวนี่เองที่ขับเคลื่อนภาพลวงตา
ในประเพณีโบราณของฝั่งตะวันออก
มันเป็นที่เข้าใจกันมากว่าหลายพันปี
ว่าทุกอย่างคือการสั่นสะเทือน
“นารทพรหม” จักรวาลคือเสียง
คำว่า “นารท” แปลว่าเสียงหรือการสั่นสะเทือน
ส่วน “พรหม” เป็นชื่อเรียกเทพ
ในขณะเดียวกัน “พรหม” ก็คือจักรวาล และก็คือผู้สร้าง
ศิลปินและศิลปะเป็นสิ่งที่แยกขาดจากกันไม่ได้
ในคัมภีร์อุปนิษัท
หนึ่งในบันทึกเก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติจากดินแดนอินเดียโบราณ
เขียนไว้ว่าพรหมผู้สร้างนั่งอยู่บนดอกบัว
ลืมตาของท่าน แล้วโลกก็มีขึ้น
พรหมหลับตา แล้วโลกก็หายไป
ผู้มีเวทมนต์ในสมัยโบราณเช่นโยคีและหมอดู
ได้ยืนยันว่ามีสนามพลังในระดับรากของความรู้สึกตัว
สนามอากาสาหรือบันทึกอากาสา
ที่ซึ่งข้อมูลทั้งหมด ประสบการณ์ทั้งหมด
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ดำรงอยู่ในขณะนี้และเป็นอย่างนั้นเสมอ
สนามพลังหรือแมตริกซ์นี้เองที่ทุกสิ่งเกิดขึ้น
จากอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมไปจนถึงกาแล็คซี่
ดวงดาว ดาวเคราะห์ และ ทุกชีวิต
เธอไม่เคยเห็นสิ่งใดในภาพรวมทั้งหมดของมัน
เพราะมันถูกสร้างด้วยชั้นแห่งการสั่นสะเทือนซ้อนกันชั้นต่อชั้น
และมันเปลียนแปลงอย่างคงที่ แลกเปลี่ยนข้อมูลกับอากาสา
ต้นไม้กำลังดื่มกินในดวงอาทิตย์
อากาศ ฝน พื้นดิน.
โลกแห่งพลังงานที่เคลื่อนที่เข้าออกจากสิ่งเหล่านี้
เราเรียกว่าต้นไม้
เมื่อจิตที่คิดหยุด
เธอจะเห็นความจริงอย่างที่มันเป็น
ทุกสิ่งอยู่ด้วยกัน
ต้นไม้ ท้องฟ้า พื้นดิน
ฝน และ ดวงดาว ไม่ได้แยกจากกัน
ชีวิตและความตาย ตนเองและผู้อื่น ไม่แยกจากกัน
เหมือนกับภูเขาและหุบเขาไม่สามารถแยกจากกันได้
ในหมู่ชนชาวพื้นเมืองอเมริกา
และประเพณีท้องถิ่นอื่นๆ
เป็นที่กล่าวกันว่าทุกสิ่งมีวิญญาณ
ซึ่งนั่นก็คือการกล่าวว่า
ทุกสิ่งเชื่อมโยงกับแหล่งกำเนิดแห่งการสั่นสะเทือนแหล่งเดียวกันนั่นเอง
มีความรู้สึกตัวหนึ่งเดียว สนามพลังหนึ่งเดียว
แรงหนึ่งเดียวที่เคลื่อนผ่านทั้งหมด
สนามพลังนี้ไม่ได้เกิดรอบตัวเธอ
มันเกิด “ผ่าน” เธอ
และเกิด “ในฐานะที่เป็น” เธอ
เธอคือตัวอักษรยูในคำว่ายูนิเวอร์ส (จักรวาล)
เธอคือดวงตาที่สิ่งมีชีวิตอื่นใช้มองตัวเขาเอง
เมื่อเธอตื่นจากฝันเธอจะตระหนักว่า
ทุกสิ่งในฝันคือเธอ
เธอสร้างมันขึ้นมา
จึงเรียกได้ว่าชีวิตจริงไม่มีความแตกต่าง
ทุกคน ทุกสิ่ง คือเธอ
ความรู้สึกตัวเพียงหนึ่งเดียวที่กำลังมองออกมาจากดวงตาทุกดวง
ใต้ก้อนหินทุกก้อน
ภายในอนุภาคทุกอนุภาค
งานวิจัยระดับนานาชาติที่ CERN
ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการของชาวยุโรปในด้านฟิสิกส์อนุภาค
กำลังค้นหาสนามพลังอย่างนี้
ที่แผ่ขยายผ่านสรรพสิ่ง
แต่แทนที่จะมองเข้ามาภายใน
พวกเขามองออกไปสู่โลกกายภาพที่อยู่ภายนอก
นักวิจัยที่ห้องปฏิบัติการของ CERN ในเมืองเจนิวา ประเทศสวิสต์เซอร์แลนด์
ได้ประกาศว่า พวกเขาค้นพบ
“ฮิกซ์โบซอน” หรือ “อนุภาคพระเจ้า”
การทดลองเกี่ยวกับฮิกซ์โบซอนได้พิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า
สนามพลังที่มองไม่เห็นบรรจุอยู่ภายในช่องว่างสูญญากาศในอวกาศ
เครื่องชนอนุภาคขนาดใหญ่ของ CERN ประกอบไปด้วยท่อวงแหวน
ยาว 17 ไมล์ที่ภายในนั้นมีสองลำแสง
ที่เกิดจากการวิ่งของอนุภาคในทิศตรงข้ามกัน
วิ่งมาบรรจบกันและปะทะกัน
ด้วยความเร็วใกล้แสง
นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายสังเกตว่า
เกิดอะไรขึ้นจากการชนกันอย่างรุนแรงนี้
แบบจำลองมาตรฐานไม่สามารถอธิบาย
ว่าอนุภาคมีมวลได้อย่างไร
ทุกสิ่งเสมือนถูกสร้างมาจากการสั่นสะเทือน
แต่มันไม่มี “สิ่ง” ที่ถูกสั่นสะเทือน
มันเสมือนกับว่ามีนักเต้นรำที่มองไม่เห็น
เงาที่กำลังเต้นซ่อนอยู่ในบัลเล่ต์แห่งจักรวาล
นักเต้นรำคนอื่นๆเต้นอยู่ตลอดเวลา
รอบๆนักเต้นซ่อนเร้นคนนี้
พวกเราสังเกตเห็นท่วงท่าของการเต้นรำ
แต่จนกระทั่งบัดนี้พวกเรายังไม่เห็นนักเต้นคนนั้นเลย
สิ่งที่เรียกกันว่า “อนุภาคพระเจ้า”
เป็นคุณสมบัติของสสารพื้นฐานแห่งจักรวาล
หัวใจแห่งทุกสิ่งที่สามารถอธิบาย
มวลที่อธิบายไม่ได้และพลังงานที่ขับเคลื่อนการแผ่ขยายของจักรวาล
แต่นอกเหนือไปจากการอธิบายธรรมชาติของจักรวาล
การค้นพบฮิกซ์โบซอนยังได้นำไปสู่
ความลึกลับอันยิ่งใหญ่ ที่เปิดเผยให้รู้ว่าจักรวาล
ลึกลับมากเกินกว่าที่พวกเราเคยจินตนาการกันไว้
นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาขอบเขตที่กั้นระหว่างความรู้สึกตัว
กับวัตถุ
ดวงตาที่พวกเรามองไปยังสนามพลังต้นกำเนิด
กับดวงตาที่สนามพลังมองพวกเรา
เป็นหนึ่งเดียวกัน และเหมือนกัน
นักเขียนชาวเยอรมันผู้มีชื่อเสียง วอล์ฟกัง ฟอน เกอเธ่ กล่าวว่า
“คลื่นคือปรากฏการณ์ต้นกำเนิด
ที่ทำให้มีโลกนี้เกิดขึ้น
ไซเมติกซ์ (Cymatics) คือการศึกษาเสียงที่มองเห็นได้
คำว่า “ไซเมติก” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า “ไซมา (Cyma)”
ซึ่งแปลว่าคลื่นหรือการสั่นสะเทือน
หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์กลุ่มแรกที่ศึกษาเรื่องปรากฏการณ์คลื่นอย่างจริงจังคือ
เอรินสต์ คลาดนี่
นักดนตรีและนักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน
ผู้มีชีวิตอยู่ในทศวรรษที่ 18
คลาดนี่ค้นพบว่าเมื่อเขากระจายเม็ดทรายลงบนแผ่นเหล็ก
แล้วสั่นแผ่นเหล็กนั้นด้วยคันสีไวโอลีน
ทรายได้จัดตัวเองเข้าสู่รูปแบบต่างๆ
รูปทรงเรขาคริตแบบต่างๆ
ปรากฎโดยขึ้นอยู่กับการสั่นสะเทือนที่ถูกสร้างขึ้นมา
คลาดนี่จัดทำบันทึกบัญชีทั้งหมดของรูปร่างเหล่านั้น
และสิ่งเหล่านี้ก็ได้เป็นที่รู้จักกันในนาม “ภาพของคลาดนี”
รูปแบบเหล่านี้สามารถพบในโลกธรรมชาติ
เช่น ลายของเต่า
หรือ ลายจุดของเสือดาว
การศึกษารูปแบบของคลาดนีหรือรูปแบบของไซเมติกซ์
คือวิธีลับอย่างหนึ่งที่ผู้ผลิตกีต้าร์และไวโอลีนชั้นสูงตลอดจนเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ
ใช้ตัดสินคุณภาพเสียงของเครื่องดนตรีที่พวกเขาสร้างขึ้น
ฮันส์ เจนนี่ ได้ต่อยอดงานวิจัยของคลาดนี่ในทศวรรษที่ 1960
โดยใช้ของเหลวหลายชนิดและการเพิ่มกำลังกระแสไฟฟ้า
เพื่อสร้างความถี่ของเสียงและประกาศใช้ศัพท์คำว่า “ไซเมติกซ์”
ถ้าเธอผ่านคลื่นแบบซายน์ลงในน้ำที่อยู่ในถ้วย
เธอจะสามารถเห็นรูปแบบของน้ำ
รูปแบบการกระเพื่อมปรากฎต่างกันไปขึ้นอยู่กับความถี่ของคลื่น
ยิ่งความถี่สูงรูป แบบก็ยิ่งซับซ้อน
รูปแบบเหล่านี้สร้างซ้ำได้ ไม่ได้เป็นไปโดยบังเอิญ
ยิ่งเธอสังเกตมากขึ้น
เธอยิ่งจะเริ่มเห็นว่าความสั่นสะเทือนจัดการวัตถุให้มีรูปแบบซับซ้อนได้อย่างไร
จากการสร้างเพียงคลื่นที่เรียบง่ายซ้ำๆกัน
การสั่นสะเทือนของน้ำนี้มีรูปแบบคล้ายดอกทานตะวัน
มันง่ายเพียงแค่เปลี่ยนความถี่เสียง
พวกเราก็ได้รูปแบบที่แตกต่าง
น้ำเป็นสสารที่น่าพิศวงมาก
มันยอมรับการแปลงรูปได้ง่าย
ซึ่งนั่นหมายถึงมันสามารถรับและทนอยู่กับการสั่นสะเทือนได้
เนื่องจากมีความสามารถสูงในการสั่นพ้องกัน
และมีความไวต่อสิ่งกระตุ้น ตลอดจนมีความพร้อมภายในที่จะสั่นสะท้อน
น้ำจึงมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างทันทีต่อทุกชนิดของคลื่นเสียง
น้ำและดินที่สั่นสะเทือน
สร้างมวลหลักของต้นไม้และสรรพสัตว์
มันง่ายที่จะสังเกตว่าการสั่นสะเทือนอย่างเรียบง่ายในน้ำ
สามารถสร้างรูปแบบที่จดจำได้ในธรรมชาติอย่างไร
แต่เมื่อเราใส่ของแข็งเข้าไปและเพิ่มแอมปลิจูด
หลายสิ่งก็น่าสนใจขึ้นมากกว่าเดิม
เมื่อใส่แป้งข้าวโพดลงในน้ำ
พวกเราได้ปรากฎการณ์ที่ซับซ้อนกว่าเดิม
บางทีหลักการของความมีชีวิต
สามารถสังเกตได้จากการสั่นสะเทือนที่เคลื่อนย้ายหยดน้ำแป้งข้าวโพด
ให้กลายไปเป็นอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนสิ่งมีชีวิตเคลื่อนที่ได้
หลักการดุจมีชีวิตของจักรวาล
ถูกอธิบายไว้ในทุกศาสนาหลัก
โดยใช้ถ้อยคำที่สะท้อนความเข้าใจ
ในช่วงนั้นของประวัติศาสตร์
ในภาษาของอินคาซึ่งเป็นอาณาจักรใหญ่ที่สุดในอเมริกายุคพรีโคลัมเบียน
คำศัพท์ที่แปลว่าร่างกายมนุษย์ คือ “อัลปา คามาสกา (Alpa Camasca)”
ซึ่งตามตัวอักษรหมายถึง “ดินที่ถูกทำให้มีชีวิต”
ในคัมภีร์คาบาล่าห์หรือศาสตร์แห่งเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิว
พวกเขาพูดถึงชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า
ชื่อที่ไม่สามารถพูดได้
มันไม่สามารถพูดได้เพราะมันคือการสั่นสะเทือนซึ่งมีอยู่ทุกที่
มันคือคำทุกคำ สิ่งทุกสิ่ง
ทุกสิ่งคือถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์
tetrahedron (รูปทรงสี่หน้า) คือรูปทรงธรรมดาสามัญที่สุด
ที่สามารถดำรงอยู่ในสามมิติ
บางสิ่งจำเป็นต้องมีอย่างน้อย 4 จุด
จึงจะมีอยู่จริงทางกายภาพ
โครงสร้างแบบสามเหลี่ยมเป็นเพียง
รูปแบบตามธรรมชาติที่เสถียรด้วยตัวของมันเอง
ในคัมภีร์พันธสัญญาเดิมคำว่า “เตตระกรัมมาตอน (Tetragrammaton)”
ถูกใช้แทนการปรากฏในลักษณะใดลักษณะหนึ่งของพระเจ้า
มันถูกใช้เมื่อกล่าวถึงคำพูดของพระเจ้า
หรือ ชื่อพิเศษของพระเจ้า, โลโกส์, หรือถ้อยคำอันเป็นต้นกำเนิด
ในอารยธรรมโบราณเป็นที่รู้กันว่าฐานรากของโครงสร้างจักรวาล
เป็นรูปทรงสี่หน้า
จากรูปทรงนี้ธรรมชาติได้แสดงการขับเคลื่อนขั้นพื้นฐาน
ไปสู่สภาวะสมดุลเรียกอีกนัยว่า “ศิวะ”
ในขณะเดียวกันก็การขับเคลื่อนขั้นพื้นฐานไปสู่
สภาวะเปลี่ยนแปลงเรียกอีกนัยว่า “ศักติ”
ในคัมภีร์ไบเบิลหมวดพระวรสารของจอห์นมักอ่านว่า
“ในเริ่มต้นคือคำพูด”
แต่ในฉบับดั่งเดิม คำที่ถูกใช้คือ
“โลโกส์”
นักปรัชญาชาวกรีกชื่อ เฮราคลิตัส
ผู้มีชีวิตอยู่ 500 ปีก่อนพระคริสต์
กล่าวถึงโลโกส์ว่าเป็นบางสิ่ง
ที่โดยพื้นฐานแล้วไม่สามารถรู้ได้
เป็นต้นกำเนิดของการเกิดซ้ำทั้งมวลและรูปแบบทั้งหมด
นักปรัชญาลัทธิสโตอิกผู้ซึ่งเจริญรอยตามคำสอนของเฮราคลิตัส
ได้ระบุคำศัพท์ดังกล่าวไว้ด้วย
หลักการดุจมีชีวิตอันศักสิทธิ์ซึ่งแผ่ซ่านไปทั่วจักรวาล
ในลัทธิซูฟีย (Sufism) โลโกส์คือทุกที่และอยู่ในทุกสิ่ง
มันคือผลลัพธ์ที่เกิดเมื่อการไม่สำแดงกลายเป็นการสำแดง
ในประเพณีฮินดู “ศิวะนาฏราชา” แปลตามตัวอักษรว่า
“ราชาแห่งการเต้นรำ”
จักรวาลทั้งหมดเต้นรำตามกลองของศิวะ
ทุกอย่างถูกซึมซาบหรือถูกทำให้มีวิญญาณด้วยการเต้นเป็นจังหวะ
ตราบใดที่ศิวะกำลังเต้นรำ
โลกก็สามารถพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเปลี่ยนแปลง
มิฉะนั้นแล้วมันจะพังทลายกลับไปสู่ความไม่มีอะไร
ในขณะที่ศิวะเป็นตัวแทนของผู้รับรู้ความรู้สึกตัวของพวกเรา
ศักติก็คือสสารหรือสิ่งของต่างๆในโลก
ในขณะที่ศิวะนอนอยู่ในสมาธิ
ศักติก็พยายามทำให้ท่านเคลื่อนไหว
เพื่อพาท่านเข้าสู่การเต้นรำ
เหมือนหยินและหยาง
ผู้เต้นรำและการเต้นรำดำรงอยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน
โลโกส์ยังหมายถึงความจริงที่ไม่ปิดบัง
เขาผู้ซึ่งรู้จักโลโกส์ย่อมรู้จักความจริง
ชั้นแห่งการปกปิดจำนวนมากดำรงอยู่ในโลกมนุษย์
เนื่องจากอากาสาถูกหมุน
ให้กลายเป็นโครงสร้างซับซ้อนทั้งหลาย
ปกปิดต้นกำเนิดเอาไว้จากตัวของมันเอง
เหมือนเกมส์ซ่อนหาอันศักดิ์สิทธิ์
พวกเราได้ซ่อนกันมาหลายพันปี
จนกระทั่งในที่สุดก็ลืมเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับเกมส์ไป
ด้วยเหตุบางประการพวกเราลืมไปแล้วว่ามีอะไรที่ต้องหา
ในศาสนาพุทธเราถูกสอนให้รับโลโกส์เข้ามาตรงๆ
สนามพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงหรือความไม่แน่นอนภายในตัวเอง
ผ่านการทำสมาธิ
เมื่อเธอสังเกตเห็นโลกภายในตัวเธอ
เธอสังเกตเห็นความเปราะบางและความนัยแฝงของความรู้สึกสัมผัสและพลังงาน
เนื่องจากจิตเข้มข้นและจดจ่อขึ้น
ผ่านการตระหนักรู้โดยตรงถึง “อนิจจา”
หรือความไม่แน่นอนในระดับรากของความรู้สึกสัมผัส
เรากลายเป็นอิสระจากการผูกติดกับรูปแบบภายนอกที่อยู่เพียงชั่วคราว
เมื่อเราตระหนักว่ามีสนามสั่นสะเทือน
ซึ่งเป็นรากฐานสามัญของทุกศาสนา
เราจะพูดได้อย่างไรว่า “ศาสนาของฉัน” หรือ “นี่คือโอมดั้งเดิมของฉัน”
“สนามควอนตัมของฉัน” ?
วิกฤตการณ์แท้จริงในโลกของเราไม่ใช่สังคม
การเมืองหรือเศรษฐกิจ
วิกฤตการณ์ของเราคือวิกฤตการณ์แห่งความรู้สึกตัว
ความไร้สามารถที่จะเผชิญหน้ากับความจริงของตนเองโดยตรง
ความไร้สามารถที่จะตระหนักถึงธรรมชาตินี้ในทุกคน
และในทุกสิ่ง
ในประเพณีพุทธ พระโพธิสัตว์
คือผู้มีธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะที่ยังไม่ตื่น
พระโพธิสัตว์ตั้งปณิธานช่วยทุกสรรพสัตว์ในจักรวาลให้ตื่น
ตระหนักว่าทั้งหมดคือความรู้สึกตัวเพียงหนึ่งเดียว
เพื่อปลุกตัวตนที่แท้จริงของเราให้ตื่น เราต้องปลุกทุกสรรพสัตว์ให้ตื่นด้วย
“มีสรรพสัตว์นับไม่ถ้วนในจักรวาล
ฉันตั้งปณิธานช่วยพวกเขาทั้งหมดให้ตื่น
ความไม่บริบูรณ์ของฉันไม่รู้จักหมดสิ้น
ฉันตั้งปณิธานเอาชนะพวกมันทั้งหมด
ธรรมะเป็นสิ่งไม่สามารถรู้จักได้
ฉันตั้งปณิธานรู้จักมัน
หนทางสู่ความตื่นเกินเอื้อมถึง
ฉันตั้งปณิธานเข้าถึงมัน