“โลกภายในโลกภายนอก” ตอนที่ 2
นักปรัชญาผู้ดำเนินตามวิถีพีทากอเรียน ชื่อ เพลโต
ได้กล่าวโดยนัยว่ามีกุญแจทอง
ที่ผสานความลี้ลับทั้งหมดของจักรวาล
กุญแจทองดอกนี้เองที่พวกเรากลับคืนสู่
ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดระยะเวลาแห่งการสำรวจของเรา
กุญแจทองที่ว่านี้คือความปรีชาแห่งโลโกส์
ต้นกำเนิดแห่งโอมดั้งเดิม
บางคนอาจกล่าวว่ามันคือจิตแห่งพระเจ้า
ด้วยประสาทสัมผัสอันจำกัดของเรา
เรากำลังสังเกตเห็นเฉพาะปรากฏการณ์ภายนอกของกลไกซ่อนเร้นแห่งความคล้ายตนเอง
ต้นกำเนิดของสมมาตรอันศักดิ์สิทธิ์นี้คือความลี้ลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งการดำรงอยู่ของพวกเรา
นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย เช่น พีทากอรัส
เคปเลอร์
ลีโอนาโด ดาวินซี
เทสลา
และไอสไตน์
ได้มาถึงทางเข้าแห่งความลี้ลับนั้น
ไอสไตน์กล่าวว่า “สิ่งที่งดงามที่สุดที่พวกเราประสบได้ก็คือความลี้ลับ
มันเป็นต้นกำเนิดของศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่แท้
สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าอารมณ์เช่นนี้แปลกแยก
ผู้ซึ่งไม่สามารถหยุดความสงสัยและยืนจมอยู่ภายใต้ความกลัว
เขาก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ตายแล้ว ดวงตาของเขาปิดอยู่”
พวกเราอยู่ในฐานะของเด็กน้อย
ที่เข้ามาในห้องสมุดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนังสือในหลากภาษา
เด็กน้อยรู้ว่าต้องมีใครสักคนเขียนหนังสือเหล่านั้น
แต่เขาไม่รู้ว่าเขียนอย่างไร
เขาไม่เข้าใจภาษาต่างๆที่ใช้ในหนังสือนั้น
เด็กน้อยสงสัยขึ้นมาลางๆถึงความลี้ลับในลำดับการจัดวางหนังสือ
แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
สำหรับฉันแล้วนั่นดูเหมือนว่า
เป็นทัศนคติของมนุษย์แม้แต่ในผู้ฉลาดที่สุดที่มีต่อพระเจ้า
พวกเราเห็นจักรวาลถูกจัดวางอย่างวิเศษและเป็นไปตามกฏทั้งมวล
จิตอันจำกัดของเราไม่สามารถจับแรงลี้ลับที่ขับเคลื่อนดวงดาวไว้ได้
นักวิทยาศาสตร์ทุกคนที่มองลึกลงไปในจักรวาล
และจอมขมังเวทย์ทุกคนที่มองลึกลงไปในความเป็นตัวตน
ย่อมได้เผชิญหน้ากับสิ่งเดียวกันในที่สุด
“วงก้นหอยต้นกำเนิด”
ตอนที่ 2 วงก้นหอย (spiral)
หลายพันปีก่อน ก่อนการสร้างหอดูดาวที่สโตนเฮนจ์
วงก้นหอยถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญบนโลกใบนี้
วงก้นหอยโบราณสามารถพบได้ในทุกแห่งทั่วโลก
วงก้นหอยโบราณนับพันๆวงอย่างนี้พบได้ทั่วทั้งยุโรป
อเมริกาเหนือ นิวเม็กซิโก ยูทาห์ ออสเตรเลีย จีน รัสเซีย
ซึ่งความจริงก็พบในทุกวัฒธรรมพื้นเมืองบนโลก
วงก้นหอยโบราณเป็นสัญลักษณ์แห่งการเติบโต
การแผ่ขยาย และพลังจักรวาล (cosmic energy)
ที่บรรจุอยู่ในดวงอาทิตย์และสรวงสวรรค์
รูปแบบของวงก้นหอยสะท้อนถึงมหภาคแห่งจักรวาลที่แผ่ขยาย
ในประเพณีพื้นเมืองทั้งหลาย วงก้นหอยคือต้นกำเนิดพลังงาน
ที่เรียกกันว่า “มารดาดั้งเดิม”
วงก้นหอยในยุคหินใหม่ที่พบในนิวแกรนจ์ประเทศไอร์แลนด์เกิดขึ้นเมื่อ 5,000 ปีก่อน
มันมีอายุมากกว่าปิรามิกีซาที่ยิ่งใหญ่ถึง 500 ปี
และมันก็กลายเป็นเพียงปริศนาสำหรับผู้พบเห็นในยุคปัจจุบัน
วงก้นหอยพาย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ยุคที่มนุษย์เชื่อมต่อกับโลกมากกว่าปัจจุบัน
เชื่อมต่อกับวงกลมและวงก้นหอยแห่งธรรมชาติ
ยุคที่มนุษย์ถูกจำกัดความด้วยความคิดน้อยกว่าปัจจุบัน
วงก้นหอยคือสิ่งที่พวกเราเข้าใจว่าเป็นแรงบิดตัวของจักรวาล
ปราณ หรือ แรงสรรค์สร้าง ที่หมุนอากาสา (หรืออากาศ) ให้กลายเป็นรูปแบบที่จับต้องได้และมีความต่อเนื่อง
พบในทุกระดับทั้งมหภาคและจุลภาค
จากกาแลคซี่ก้นหอย
ไปยังระบบภูมิอากาศ
ไปยังน้ำในอ่างของเธอ
ไปยังลักษณะทางพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ของเธอ
ไปยังประสบการณ์ตรงแห่งพลังของเธอ
“วงก้นหอยต้นกำเนิด” ไม่ใช่ความคิด
แต่เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกเงื่อนไขและความคิดทั้งมวลเป็นไปได้
วงก้นหอยหลากชนิดและขดกลมทั้งหลายพบทั่วไปในธรรมชาติ
หอยทาก
ประการังทะเล
ใยแมงมุม
ฟอสซิล
หางของม้าน้ำ
และหอย
สังเกตได้ว่าวงก้นหอยจำนวนมากที่ปรากฏในธรรมชาติอยู่ในรูปแบบลอการิทึ่ม
หรือเรียกอีกอย่างว่า “วงก้นหอยที่เจริญเติบโต”
เมื่อเธอเคลื่อนออกจากจุดกึ่งกลาง ส่วนต่างๆของวงก้นหอยจะมีขนาดใหญ่ขึ้นด้วยความสัมพันธ์แบบเอ็กซ์โปเนนเชียล
เหมือนตาข่ายรัตนะของพระอินทร์ วงก้นหอยแบบลอการึทึ่มมีความคล้ายตนเอง
หรือเรียกอีกอย่างว่า ฮอโลกราฟฟิก
ซึ่งลักษณะพิเศษของแต่ละส่วนได้สะท้อนภาพรวมทั้งหมด
2,400 ปีก่อนในยุคกรีกโบราณ
เพลโตได้พิจารณาสัดส่วนเรขาคณิตต่อเนื่อง
จนได้พบรากฐานขั้นแรกสุดของพันธะแห่งจักรวาล (cosmic bond)
“สัดส่วนสีทอง (The Golden Ratio)” หรือ สัดส่วนศักดิ์สิทธิ์
เป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในธรรมชาติ
สัดส่วนทองที่ว่านี้สามารถแสดงในรูป
สัดส่วนของ (A + B) ต่อ A ซึ่งเท่ากับสัดส่วนของ A ต่อ B
สำหรับเพลโตแล้ว จิตวิญญาณในโลกล้วนเชื่อมโยงกันด้วยการสั่นพ้องจนประสานเป็นหนึ่งเดียว
รูปแบบห้าเหลี่ยมแบบเดียวกันกับที่มีในปลาดาว
หรือที่มีในลูกกระเจียบเขียว
สามารถพบได้ในเส้นทางโคจรของดาววีนัสในท้องฟ้ายามราตรีซึ่งมีคาบโคจรเท่ากับ 8 ปี
โลกแห่งรูปแบบที่เข้าใจได้ กับ โลกแห่งวัตถุที่มองเห็นได้
มีความสอดคล้องกับทฤษฎีแห่งความคล้ายตนเองทางเรขาคณิตนี้
จากรูปแบบวงก้นหอยที่มีความคล้ายตนเองของบล็อคโคลี่
ไปจนถึงวงแขนของกาแล็คซี่
วงก้นหอยแบบลอการิทึ่ม เป็นรูปแบบที่มีอยู่ทุกหนแห่ง และถือเป็นตัวแทนได้
กาแล็คซี่ทางช้างเผือกของเรามีแขนแบบวงก้นหอยอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งจัดเป็นชนิดลอการิทึ่ม
ที่มีความลาดเอียงประมาณ 12 องศา
ยิ่งความลาดเอียงของวงก้นหอยเพิ่มขึ้น การหมุนย่อมพันกันแน่นขึ้น
เมื่อเธอสังเกตการเติบโตของตนไม้ผ่านวีดีโอที่บันทึกด้วยเทคนิคไทม์แล็ปส์ (time-lapse)
เธอจะเห็นมันเต้นรำด้วยวงก้นหอยแห่งชีวิต
“วงก้นหอยสีทอง” คือ วงก้นหอยแบบลอการิทึ่ม
ที่เติบโตสู่ภายนอกด้วยปัจจัยแห่งสัดส่วนสีทอง
สัดส่วนสีทองเป็นความสัมพันธ์พิเศษเชิงคณิตศาสตร์
ที่ปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในธรรมชาติ
รูปแบบที่สังเกตเห็นได้เป็นไปตามสิ่งที่เรียกว่า “ฟีโบนักซี ซีรีส์ (Fibonacci series)”
หรือ ลำดับฟีโบนักซี (Fibonacci sequence)
ฟีโบนักซี ซีรีส์ มีอยู่ว่า ทุกจำนวนคือผลรวมของสองจำนวนก่อนหน้านั้น
นักคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน ชื่อ เคปเลอร์
ค้นพบว่าความคล้ายตนเองของรูปแบบวงก้นหอยนั้น
สามารถพบได้ในวิธีการเรียงใบของต้นพืช
หรือในการจัดเรียงเกสรและกลีบของดอกไม้
ลีโอนาโด ดาวินซี สังเกตว่า ช่องว่างระหว่างใบไม้
มักอยู่ในรูปแบบวงก้นหอย
รูปแบบนี้เรียกว่า “ไฟโลแท็กซิส (phyllotaxis)”
หรือ รูปแบบการเรียงตัวของใบไม้
การเรียงตัวแบบไฟโลแท็กซิสสามารถพบได้
ในการจัดการตนเอง (self-organizing) ของดีเอ็นเอนิวคลีโอไทด์ (DNA nucleotides)
และจำนวนลูกที่เกิดจากการสืบพันธุ์ของกระต่ายในการแจกแจกแบบแผนภูมิต้นไม้
ในลูกสน
ในต้นกระบองเพชร
ในเกร็ดหิมะ และสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างเรียบง่าย
เช่น ไดอะตอม
ไดอะตอมจัดเป็นหนึ่งในแพลงตอนชนิดสังเคราะห์แสง (phytoplankton) ทั่วไป
เป็นสิ่งมีชีวิตเซลเดียวที่สร้างอาหารให้แก่สัตว์นับชนิดไม่ถ้วน
ตลอดห่วงโซ่อาหาร
เธอต้องรู้คณิตศาสตร์มากแค่ไหนจึงจะเป็นดอกทานตะวันหรือผึ้งได้ ?
ธรรมชาติไม่เคยปรึกษาแผนกฟิสิกส์ในการปลูกบล็อคโคลี่
โครงสร้างในธรรมชาติเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
นักวิทยาศาสตร์ด้านนาโนเทคโนโลยีใช้คำว่า “การจัดวางโมเลกุลอย่างเป็นระเบียบด้วยตนเอง (self-assembly)”
เพื่ออธิบายการเกิดขึ้นของความซับซ้อน
เช่น รูปทรงห้าเหลี่ยมที่เกิดขึ้นช่วงแรกของการสร้างดีเอ็นเอ
ในวิศวกรรมนาโนเทคโนโลยี หลอดนาโนที่ทำจากคาร์บอน
ประกอบไปด้วยการจัดระเบียบที่คล้ายคลึงกันของวัสดุ
ธรรมชาติได้สรรค์สร้างรูปทรงเรขาคณิตนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
อัตโนมัติโดยปราศจากการคำนวณ
ธรรมชาติมีความเที่ยงตรงและมีประสิทธิภาพอย่างที่สุด
จากมุมมองของสถาปนิกและนักเขียนผู้มีชื่อเสียง บักมินสเตอร์ ฟุลเลอร์
รูปแบบเหล่านี้เป็นฟังชั่นของกาลอวกาศ (timespace)
ดีเอ็นเอและรังผึ้งมีรูปร่างอย่างที่เป็นอยู่ด้วยเหตุผลเดียวกับที่ฟองอากาศมีรูปร่างกลม
มันเป็นรูปร่างที่มีประสิทธิภาพที่สุดที่ทำให้ความต้องการพลังงานอยู่ในปริมาณน้อยที่สุด
อวกาศเองก็มีรูปร่างและยอมให้มีเพียงตำแหน่งของวัตถุที่แน่นอน
ซึ่งจะถูกจัดให้อยู่ในสภาวะที่มีประสิทธิภาพเสมอ
รูปแบบเหล่านี้แข็งแรงที่สุดและอยู่ในสภาวะมีประสิทธิภาพที่สุดในการสร้าง
โครงสร้างทางสถาปัตยกรรม เช่น โดมผิวโค้ง (geodesic domes) ก็เป็นอย่างนั้น
วงก้นหอยลอการิทึ่มเป็นรูปแบบที่ทำให้ต้นไม้เผยตัวต่อแมลงอย่างที่สุดเพื่อการผสมเกสร
เผยตัวต่อแสงอาทิตย์และฝนอย่างที่สุด
และยอมให้มันหมุนน้ำเป็นเกลียวไปยังรากอย่างมีประสิทธิภาพ
นกนักล่าเหยื่อทั้งหลายใช้รูปแบบวงก้นหอยลอการิทึ่มในการย่องเข้าหาอาหารมื้อต่อไป
การบินหมุนวนเป็นเกลียวคือวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการล่า
ความสามารถในการเห็นวงก้นหอยแห่งชีวิตเริงร่ายอากาสาให้กลายเป็นวัตถุ
เกี่ยวข้องกับความสามารถในการเห็นความงามและความสมมาตรในธรรมชาติ
กวีชื่อ วิลเลี่ยม เบล็ค กล่าวว่า ” จักวาลเสมือนผัก เปิดกว้างคล้ายดอกไม้จากศูนย์กลางโลก
ซึงในนั้นคือความเป็นนิรันดร์
มันแผ่กว้างจากดวงดาวทั้งหลายสู่เปลือกโลก
และที่นั้นมันพบกับความเป็นนิรันดร์อีกครั้ง ทั้งภายในและภายนอก”
การศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบในธรรมชาติไม่ใช่เรื่องที่คุ้นเคยนักสำหรับประเทศแถบตะวันตก
แต่ในประเทศจีนโบราณ ศาสตร์นี้เป็นที่รู้จักกันในนาม “ลี่”
ลี่ สะท้อนถึงลำดับเชิงพลวัตและรูปแบบในธรรมชาติ
มันไม่ใช่รูปแบบเชิงความคิดที่อยู่นิ่งกับที่
แช่แข็งหรือไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนลวดลายในกระจกโมเสค
มันเป็นรูปแบบเชิงพลวัต (เต็มไปด้วยพลังงานและการเคลื่อนไหว) ที่บรรจุอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
เส้นแขนงในใบไม้
ลายในกระดองเต่า
และรอยแตกแขนงบนก้อนหิน
คือการแสดงออกของภาษาลับและศิลปะแห่งธรรมชาติ
เขาวงกตคือหนึ่งในรูปแบบอันหลากหลายของลี่
มันถูกพบในปะการัง
เห็ด เช่น เห็ดโมเรล
กระหล่ำปลี
และในมันสมองมนุษย์
รูปแบบของเซลก็เป็นอีกอย่างที่พบทั่วไปในธรรมชาติ
มีโครงสร้างเซลแบบต่างๆจำนวนมหาศาล
แต่ทั้งหมดนั้นล้วนมีการจัดระเบียบที่คล้ายคลึงกันซึ่งกำหนดโดยวัตถุประสงค์และหน้าที่
มันง่ายที่จะถูกสะกดให้หลงไปกับรูปแบบการแสดงที่มีอยู่ตลอดเวลาเหล่านั้น
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือ ต้นแบบที่แน่นอนเหล่านั้น
ดูเหมือนว่าจะถูกถักทอจนกลายเป็นข่ายใยแห่งธรรมชาติไปแล้วทั้งหมด
รูปแบบการแตกแขนงย่อยก็จัดเป็นรูปแบบของลี่หรือต้นแบบชนิดหนึ่ง
ที่สังเกตเห็นได้ทุกระดับและอยู่ในทุกมาตราส่วนของแฟร็คทัล
ตัวอย่างเช่น ภาพอันเหลือเชื่อนี้ได้จากการจำลองแบบโดยซูปเปอร์คอมพิวเตอร์
เป็นที่รู้จักกันในนาม “มิเลเนียม รัน (millennium run)”
ซึ่งแสดงการกระจายของสสารมืด (dark matter) ในพื้นที่หนึ่งของจักรวาล
มันถูกสร้างขึ้นมาโดยสมาคมมักซ์พลังค์ (Max Planck Society) ในประเทศเยอรมัน
สสารมืดคือสิ่งที่พวกเราเคยคิดว่ามันเป็นพื้นที่ว่างเปล่าในอวกาศ
มันเหมือนเป็นระบบประสาทที่มองไม่เห็นวิ่งไปทั่วจักรวาล
จักวาลนั้นตามตัวอักษรเสมือนกับสมองขนาดยักษ์
มันกำลังคิดอยู่อย่างสม่ำเสมอโดยใช้พลังมืดหรือพลังซ่อนเร้น
ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์กำลังเพิ่งเริ่มจะเข้าใจ
ผ่านโครงข่ายมหึมานี้ พลังงานอันไม่สามารถหยั่งถึงได้ขับเคลื่อน
ก่อให้เกิดโมเมนตัมในการแผ่ขยายและเติบโตของจักรวาล
ธรรมชาติจะสร้างรูปแบบการแตกแขนงโดยอัตโนมัติเมื่อเราจัดเงื่อนไขให้เหมาะสม.
ธรรมชาติคือเครื่องจักรสร้างงานศิลปะหรือเครื่องยนต์สร้างความงาม
ในที่นี้ ไฟฟ้าถูกใช้สร้างแขนงของผลึกเงิน
คลิปนี้ถ่ายโดยใช้เทคนิคไทม์แล็ปภายในระยะเวลาหลายชั่วโมงที่ผลึกโตขึ้น
ผลึกเกิดขึ้นบนขั้วลบที่ทำด้วยอลูมิเนียม
อันเป็นผลมาจากการพอกพูนด้วยไฟฟ้า (electrodeposition) ของไอออนจากสารละลายซิลเวอร์ไนเตรท
การก่อตัวนี้เป็นแบบจัดการตนเอง
เธอกำลังเห็นงานศิลปะที่สรรค์สร้างขึ้นโดยตัวธรรมชาติเอง
โยฮันน์ โวล์ฟกัง ฟอน เกอเธ่ กล่าวว่า
“ความงามคือปรากฏการณ์แห่งกฎธรรมชาติอันลี้ลับ
ซึ่งหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว มันก็จะถูกซ่อนจากพวกเราตลอดไป”
ด้วยความรู้สึกเช่นนี้ ทุกสิ่งในธรรมชาติล้วนมีชีวิต และอยู่ในรูปแบบจัดการตนเอง
เมื่อใช้ความต่างศักย์สูงขึ้น การแตกแขนงแบบแฟล็คทัลก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
สิ่งนี้เกิดขึ้นในทุกขณะเวลาที่กำลังดำเนินอยู่
ในร่างกายมนุษย์ พบโครงสร้างหรือรูปแบบคล้ายต้นไม้ดำรงอยู่ทั่วร่าง
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นก็คือระบบประสาทที่การแพทย์แถบตะวันตกรู้จักดี
แต่ในการแพทย์แบบจีน อายุรเวท และธิเบตแล้ว
เส้นแวงแห่งพลัง (energy meridians) เป็นองค์ประกอบจำเป็นในการทำความเข้าใจกลไกต่างๆของร่างกาย
“นาดีส” หรือ เส้นแวงแห่งพลังมีโครงสร้างคล้ายต้นไม้
แม้การชันสูตรศพจะไม่สามารถเผยให้เห็นจักระหรือนาดีส
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่
เธอจำเป็นต้องกลั่นกรองอุปกรณ์ของเธอสำหรับใช้ดู
ลำดับแรกสุดเธอต้องเรียนรู้การทำให้ความคิดสงบเงียบ
เพียงเท่านี้เธอจะสังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นครั้งแรกในตัวเธอเอง
ในทางทฤษฎีไฟฟ้า ยิ่งเส้นลวดมีความต้านทานน้อย
มันยิ่งนำพลังงานได้ง่ายขึ้น
เมื่อเธอบ่มเพาะความสงบให้เกิดจากการทำสมาธิ
สภาวะไร้แรงต้านจะถูกสร้างขึ้นภายในตัวเธอ
ปราณ หรือ ชี่ หรือ กำลังภายใน คือ การมีชีวิตอยู่ของเธอจากภายใน
เธอรู้สึกถึงอะไรเมื่อเธอนำความรู้สึกตัวเข้ามาอยู่ภายในร่างกาย
เส้นบางๆภายในร่างกายที่ลำเลียงปราณซึ่งก็คือนาดีสนั่นเอง
จะสามารถขับเคลื่อนพลังปราณได้มากขึ้นผ่านจักระทั้งหลาย
เส้นปราณของเธอจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเธอใช้มันโดยยอมให้พลังไหลผ่าน
ที่ใดก็ตามที่ความรู้สึกตัวไปถึง ชี่หรือพลังงานจะเริ่มไหล
และความเชื่อมโยงทางกายภาพก็จะผลิบาน
ภายในสมองและระบบประสาท
รูปแบบทางกายภาพของเส้นต่างๆถูกสร้างขึ้นด้วยการทำซ้ำ
ด้วยการวางความสนใจไว้ภายใน
และลดความต้านทานที่มีต่อความรู้สึกทั้งหลายที่เธอกำลังประสบ
เธอได้เพิ่มความสามารถในการบรรจุพลังงานของเธอ
ในปรัชญาเต๋า สัญลักษณ์หยินหยางแสดงถึง
การแทรกซึมระหว่างกันและกันของพลังงานก้นหอยทั้งมวลในธรรมชาติ
หยินหยางไม่ใช่สองและไม่ใช่หนึ่ง
แนวคิดโบราณของ “ฮารา” ถูกแสดงด้วย
หยินหยาง หรือ การหมุนวนแบบก้นหอย
มันเป็นศูนกลางพลังอยู่ภายในช่องท้องต่ำจากสะดือ
“ฮารา” ตามอักษรแล้วหมายถึงทะเลหรือมหาสมุทรแห่งพลังงาน
ในประเทศจีน ฮาราถูกเรียกว่าจุดตันเถียนล่าง
ในศิลปะการต่อสู้หลากรูปแบบของเอเชีย
นักรบที่มีฮาราแข็งแกร่งถือว่าเป็นผู้ที่ไม่มีใครหยุดได้
ในประเพณีของซามูไร พิธีกรรมฆ่าตัวตาย หรือ เซ็บปุคุ
เรียกว่า “ฮาราคิริ” ซึ่งมักถูกออกเสียงผิดว่า “แฮรี่ แครี่”
มันหมายถึงการแทงทะลุฮาราของคนคนนั้น
โดยการตัดซี่หรือช่องพลังงานของเขา
การเคลื่อนไหวจากศูนย์กลางนี้สร้างท่วงท่าที่หมดจดสง่างาม
ที่เธอไม่ได้เห็นเพียงในศิลปะการต่อสู้
แต่มีอยู่ในนักกอล์ฟผู้ยิ่งใหญ่
นักเต้นระบำหน้าท้อง
และการเต้นรำเพื่อทำสมาธิของชาวมุสลิม (Sufi whirling dervishes)
มันเป็นการบ่มเพาะให้ความรู้สึกตัวจดจ่ออยู่ที่จุดเดียว
ซึ่งนั่นก็คือ แก่นสาระของฮารา
ความนิ่งในดวงตาแห่งพายุเฮอริเคน
มันเป็นสัญชาตญานพื้นฐานที่จะเชื่อมต่อกับแหล่งพลังงานของตน
คนที่มีฮาราดีนั้นเชื่อมต่อกับโลก
และเชื่อมต่อกับสัญชาตญานแห่งปัญญาที่เชื่อมโยงสิ่งทั้งมวลเข้าด้วยกัน
ในการคิดด้วยช่องท้องของเธอ “ฮาราเดะคังงาเอนาซาอิ”
คือการเจาะเข้าไปในปัญญาภายในของเธอ
ชาวอะบอริจินโบราณในออสเตรเลียก็มุ่งความสนใจไปยังพื้นที่เดียวกัน
ต่ำจากสะดือ ในที่ซึ่งมีงูสายรุ้งตัวใหญ่นอนขดอยู่
อีกครั้งหนึ่ง ตัวแทนแห่งวิวัฒนาการด้านพลังงานในมนุษยชาติ
มันไม่ใช่อุบัติเหตุที่ฮาราเป็นสถานที่เริ่มต้นของชีวิตใหม่
ระบบประสาทในลำไส้
บางครั้งถูกกล่าวถึงในฐานะของ “สมองในไส้พุง” นั้น
สามารถธำรงไว้ซึ่งเมตริกซ์แห่งการเชื่อมต่ออันซับซ้อน
คล้ายกับสมองในศรีษะ ด้วยเซลประสาทและสารสื่อประสาททั้งหลายของมัน
มันสามารถแสดงออกอัตโนมัติซึ่งเป็นความเฉลียวฉลาดส่วนตัว
เธอสามารถกล่าวได้ว่าสมองในไส้พุงเป็นภาคแฟร็คทัลของสมองในศรีษะ
หรือบางทีสมองในศรีษะอาจเป็นภาคแฟร็คทัลของสมองในไส้พุง
หมีสุขภาพดีมีฮาราที่แข็งแรง
เมื่อหมีรู้ว่าจะออกหาสมุนไพรที่ไหน
มันตามการเคลื่อนไหวของชี่ผ่านประสาทสัมผัสของมัน
ที่มีศูนย์กลางอยู่ในฮาราหรือช่องท้อง
นี่คือความเชื่อมโยงของหมีที่มีต่อที่พำนักในฝัน (dream lodge)
ที่ซึ่งตามประเพณีพื้นเมืองกล่าวว่าเป็นที่มาแห่งความรู้ทั้งมวล
ซึ่งมาจากก้นหอยแห่งชีวิต
แต่คนโบราณรู้เกี่ยวกับวงก้นหอยได้อย่างไร
ในเมื่อนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เพิ่งกำลังตระหนักถึงความสำคัญของมัน
ถามผึ้งดูเถิดเพราะพวกมันยังไม่ลืมว่ารักอย่างไร
ผึ้งมีความเชื่อมโยงพิเศษกับแหล่งกำเนิด
เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของระบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันของสิ่งมีชีวิต (symbiotic)
ช่วยให้ความงามและความหลากหลายได้งอกงาม
พวกมันเป็นสะพานเชื่อมระหว่างมหภาคกับจุลภาค
มีหัวใจหนึ่งเดียวที่เชื่อมโยงทั้งหมด “จิตแบบรังผึ้ง” หากเธอต้องการ
คล้ายสมองที่เปิดกว้าง
รังผึ้งส่งความฝันของมันออกสู่โลกให้ปรากฎชัดแจ้ง
ในธรรมชาติสิ่งมีชีวิตจำนวนมากรู้วิธีแสดงออกอย่างพร้อมเพรียงกัน
เพื่อขับเคลื่อนด้วยจิตวิญญาณเดียว ทิศทางเดียว
แต่มันก็ไม่ได้เป็นประโยชน์เสียทั้งหมดสำหรับสัตว์ชนิดอื่นๆรอบตัวมัน
ตัวอย่างเช่น ฝูงตั๊กแตนกินทุกอย่างบนทางผ่านของพวกมัน
ตั๊กแตนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแสดงออกอย่างตั๊กแตน
มันย่อมไม่สร้างน้ำผึ้งหรือผสมเกสรให้พืชอย่างที่ผึ้งทำ
พฤติกรรมของตั๊กแตนนั้นตายตัว ในขณะที่มนุษย์มีลักษณะพิเศษ
ในกรณีนี้เราสามารถแสดงออกอย่างผึ้งก็ได้ หรืออย่างตั๊กแตนก็ได้
พวกเรามีอิสระที่จะเปลี่ยนและปรับปรุงรูปแบบในการแสดงปฏิกิริยาต่อโลก
หรืออาศัยผู้อื่นอยู่แบบปรสิต
ทุกวันนี้มนุษย์พยายามทำความเข้าใจวงก้นหอยด้วยความคิดอย่างสมเหตุสมผล
แต่มันไม่ใช่ “ความคิด” เลยที่เชื่อมโยงพวกเราเข้ากับวงก้นหอยแห่งชีวิต
พวกเราเชื่อมต่ออยู่แล้วเสมอมา
การคิดเป็นสิ่งที่หน่วงเหนี่ยวเราไว้ในภาพลวงตาแห่งการจำแนก
ซึ่งอยู่ภายในบุคลิกลักษณะของพวกเรา
การคิด “คือ” การสร้างความแตกแยก
ประสบการณ์ของการจำกัด
ยิ่งเราจัดวางตนเองให้เป็นแนวเดียวกับความคิด เราก็ยิ่งออกห่างจากแหล่งกำเนิด
วัฒนธรรมโบราณที่มุ่งด้านความคิดน้อย (less thought-oriented)
ได้จัดวางตัวมันด้วยวงก้นหอยที่ตรงกว่าและเฉพาะตัวกว่าที่พวกเราทำกันทุกวันนี้
ในอินเดียโบราณ กุณฑาลินีคือตัวแทนของพลังงานภายในตัวคน
ซึ่งเคลื่อนที่คล้ายงูหรือเป็นเกลียวไต่ขึ้นมาตามกระดูกสันหลัง
ในประเพณีโยคะโบราณของอินเดีย
การปรับสมดุลพลังงานวงก้นหอยด้วยความสงบนิ่งแห่งการสังเกตความรู้สึกตัว
ก็คือการมุ่งเข้าสู่ศักยภาพแห่งวิวัฒนาการอย่างเต็มที่ของเธอ
เพื่อผลิบานไปสู่สิ่งมีชีวิตพิเศษหลากเหลี่ยมมุมดังที่เธอได้ถูกออกแบบเอาไว้
“อิทะ”ความเป็นสตรีหรือช่องแห่งพระจันทร์ซึ่งเชื่อมต่อกับสมองซีกขวา
และ “ปิงคละ” ความเป็นบุรุษหรือช่องพระอาทิตย์ซึ่งเชื่อมต่อกับสมองซีกซ้าย
เมื่อสองช่องนี้อยู่ในสภาวะสมดุล พลังงานจะไหลขึ้นไปในช่องที่สามชื่อ “สุษุมนะ”
ซึ่งอยู่กึ่งกลางกระดูกสันหลัง เพื่อเพิ่มพลังให้จักระทั้งหลาย
และปลดล็อคศักยภาพแห่งวิวัฒนาการของบุคคลให้เปิดเต็มที่
คำว่า “จักระ” เป็นภาษาสันสกฤตโบราณแปลว่า “วงล้อแห่งพลังงาน”
กุณฑาลินี ก็คือวงก้นหอยต้นกำเนิด
ที่เริงร่ายชีวิตมนุษย์ให้เกิดขึ้น
มันเป็นลำดับพลังงานที่แตกต่างเกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้ตามปกติ
เหมือนสะพานเชื่อมจาก “วัตถุที่ยิ่งใหญ่ (gross matter)” ไปสู่พลังงานที่บอบบางที่สุด
เธอก็คือสะพานนั้น
กุณฑาลินีไม่ใช่พลังงานที่สามารถบังคับได้ด้วยความตั้งใจ ความพยายาม และแรงเสียดทาน
มันอุปมาเหมือนการปลูกดอกไม้
สิ่งที่พวกเราทำได้ในฐานะชาวสวนที่ดีคือเตรียมดินและเงื่อนไขอื่นให้เหมาะสม
แล้วปล่อยให้ธรรมชาติจัดการไปตามครรลองของมัน
หากเธอบังคับดอกไม้ให้บานก่อนกำหนด เธอจะทำลายมัน
มันเติบโตด้วยความปรีชาของตัวมันเอง ตามแนวทางการจัดการตนเองของมัน
จิตแห่งอัตตา (egoic mind) ซึ่งยึดแน่นกับโลกภายนอก
คือสิ่งที่เหนี่ยวรั้งเธอไว้ไม่ให้พบธรรมชาติแห่งการสั่นสะเทือนภายในอันแท้จริงของเธอ
เมื่อความรู้สึกตัวหันเข้าสู่ภายใน มันจะเป็นเสมือนแสงอาทิตย์
แล้วดอกบัวภายในก็จะเริ่มเติบโต
เมื่อกุณฑาลินีตื่นขึ้นภายในตัวผู้ใด
ในทุกรูปแบบทั้งภายในและภายนอก
วงก้นหอยนี้คือตัวเชื่อมระหว่างโลกภายในกับโลกภายนอกของเรา
พวกเราสามารถดำรงอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
โลกภายในของผู้คนในเวลานั้นเทียบเท่ากับโลกภายในของผู้คนในวัฒนธรรมศูนย์กลางฮารา
คนผู้นั้นจะเริ่มเห็นสัญลักษณ์ของวงก้นหอยในทุกสิ่ง